วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2561

:+: 7 :+: Bilingual School Time (2)

( ˊ̱˂˃ˋ̱ ) มาเขียนต่อแล้ววววว~ ยามเที่ยงคืน...
และจะเสร็จตอนไหนไม่รู้ 5555555

ความเดิมตอนที่แล้วคือสามารถใช้ภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องคิดได้แล้ว

แต่ความจริงแล้วที่ใช้ ๆ ไปถูกไวยากรณ์รึเปล่านั้น...
...จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้...
เป็นการใช้แบบสื่อสารกันเข้าใจ เขียนได้ อ่านได้ และทำข้อสอบได้...

และเมื่อขึ้นม.1 ในหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ (เปลี่ยนสำนักพิมพ์จากตอนประถม) เริ่มมีการใส่เรื่องไวยากรณ์เข้ามา ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันคือไวยากรณ์ ตัวอย่างบอกให้เปลี่ยนรูปประโยคก็ลอกเปลี่ยนตามเฉย ๆ 55555

ช่วงปลาย ๆ ม.1 ในที่สุดคุณแม่ก็ยอมให้เรียนภาษาญี่ปุ่น!!!
เพิ่งย้ายบ้านแล้วบ้านตรงข้ามเป็นครอบครัวไทย-ญี่ปุ่นพอดี เลยได้เริ่มเรียน แถมวันเสาร์อาทิตย์ก็ไปนั่งเล่นบ้านนั้น น้อง ๆ (ลูกของเซนเซ) เปิดการ์ตูน เปิดละครญี่ปุ่นดูก็นั่งดูแล้วให้น้องแปลให้ 55555

ถือว่าได้ฟังภาษาและดูดสำเนียงไป... 55555

ตอนนั้นภาษาอังกฤษยังใช้ได้ปกติ

แต่ความรู้สึกที่อยากใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ก็มีสูงกว่าอยู่ดี...
ถึงอย่างนั่นก็ไม่ยอมพูดภาษาญี่ปุ่นเท่าไหร่ 55555

เป็นประเภทว่า...จนกว่าจะมั่นใจในระดับจะไม่ค่อยยอมพูด...
ไม่ได้ต่างจากตอนภาษาอังกฤษเลย (.___.);;

จุดเปลี่ยนของชีวิตอย่างต่อไป...
เปลี่ยนที่อยู่ค่ะ 55555
ครอบครัวย้ายไปอยู่เชียงใหม่... ตอนม.2 เทอม 2 เลยได้ย้ายไปเรียนที่เชียงใหม่เป็นเวลา 1 เทอม
แต่เป็นภาคภาษาอังกฤษของโรงเรียนปกติเฉย ๆ

วิชาอื่นไม่มีปัญหาเลย ยกเว้นวิทยาศาสตร์ที่เรียนเป็นภาษาไทย 55555
แต่โชคดีที่เนื้อหาเทอมนั้นไม่ยากเท่าไหร่ เลยยังถู ๆ ไถ ๆ ผ่านไปได้...
และสิ่งที่ไม่คาดคิดคือ ตอนย้ายไปแรก ๆ มีอาจารย์ฝรั่งแอบไปชมให้ห้องข้าง ๆ ฟังว่าเด็กใหม่พูดอังกฤษเก่งมาก แกรมม่าไม่ผิดเลย
 แต่ ! ตอนทดสอบเรื่องฟิวเจอร์เทนส์คะแนนไม่ถึงครึ่ง!!!
สรุปก็ต้องสอบอีกรอบ ตอนนั้นก็ท่อง ๆ ไป (ปกติไม่เคยท่อง ใช้ตามเซนส์ล้วน ๆ)
แล้วก็ผ่าน...
หลังจากนั้นก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเริ่มคิดมากเรื่องแกรมม่า เวลาจะพูด หลาย ๆ ครั้งจะหยุดคิดก่อนว่าถูกหลักมั้ย กว่าจะพูดได้รู้สึกไม่ธรรมชาติเลย 55555 ทำให้รู้สึกว่าโอกาสที่จะพูด(ไปเรื่อย ๆ แบบสบายใจ)น้อยลง
เว้นแต่ตอนเรียน ๆ ละเบลอ ๆ อยู่แล้วโดนเรียกให้ตอบแบบไม่ทันคิด จะสามารถตอบตามสัญชาตญาณได้
ตอนตอบเสร็จก็ลุ้นไปว่าจะถูกมั้ย...ละก็โชคดีที่ไม่ผิด...

อ่อ ละตอนอยู่เชียงใหม่ ก็เหมือนได้ภาษาใหม่อีกภาษาคือภาษาเหนือ 55555
ใครว่าภาษาเหนือช้า
โน้วววววว
ในห้องเรียนนี่เหมือนแข่งกันพูด
แล้วความต่างกับที่ภูเก็ตคือ นักเรียนที่เชียงใหม่พูดกันด้วยภาษาเหนือ แต่ของภูเก็ตจะพูดกลางแต่สำเนียงใต้ หรือที่เรียก ๆ กันว่าทองแดง :'P
ถึงจะพูดภาษาเหนือไม่ได้ แต่ตอนนั้นก็ฟังออกเกือบหมดนะ เพราะเพื่อนในห้องพูดกันตลอด ถ้าตัวต่อตัวยังพูดกลางด้วย แต่พอไปอยู่เป็นกลุ่มจะพูดเหนือกัน เด็กภาคอื่นมีหน้าที่ฟังให้ออกเท่านั้น 55555
ก็สนุกดี เหมือนได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ
 /ที่ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช่ และสกิลลดลงแล้ว ตอนกลับไปหาเพื่อนก็แบบ...ต้องตั้งใจฟังมาก ว่าพูดอะไรกัน...

แล้วพอปิดเทอมก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องย้ายกลับมาภูเก็ต
ตอนเรียนก็ไม่มีปัญหาเท่าไหร่
แค่รู้สึกว่าสกิลมันดรอปลงมากกกกก
เหมือนกลับไปเลเวลเท่าตัวเองซักตอนP.5
。゚(゚´Д`゚)゚。

พอรู้สึกว่าภาษาอังกฤษดรอปลงแน่ ๆ ก็มีบ่น ๆ กับเพื่อนสนิทบ้าง
แล้วมีวันนึงไปบ้านเพื่อนสนิท ที่คุณพ่อของเพื่อนเป็นคนอังกฤษ
แล้วมีโอกาสได้ทานข้าวด้วยกัน ก็มีต้องโต้ตอบกับแดดดี้ของเพื่อนบ้าง
พอทานข้าวเสร็จ เพื่อนทักเลย "อิ๊งแกดรอปลงจริง ๆ ด้วย..."

แงงงงงงงง๊

แต่ก็เรียนจบ สอบผ่านทุกวิชาได้เหมือนเดิมนะ
แค่รู้สึกไม่ดีที่ จู่ ๆ ก็ทำสิ่งที่เคยทำได้ไม่ได้ดีเท่าเดิมเฉย ๆ

สิ่งที่จำได้คือ ข่วงนั้นคิดถึงไวยากรณ์ก่อนพูดหลายครั้งมาก
อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นเลยพูดน้อยลง เลยทำให้สกิลดรอปลงรึเปล่า
หรือว่าเป็นช่วงเทอมนึงที่ได้พูดได้ฟังอังกฤษน้อยกว่าเดิมเลยลืม ๆ ???
หรือเพราะเรียนญี่ปุ่น และโดยส่วนตัวก็ชอบภาษาญี่ปุ่นมากกว่า ภาษาเลยตี ๆ กัน ไม่ก็ทำให้ได้ใช้ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนน้อยลง

เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้...

และเมื่อขึ้นม.ปลาย ก็ย้ายมาเรียนในโรงเรียนไทยปกติ ในสายศิลป์ญี่ปุ่น
ปัญหาใหม่ที่ไม่คิดว่าจะเจอคือ อ่านเนื้อหาวิทยาศาสตร์ภาษาไทยไม่เข้าใจ 55555
จนต้องไปหาเนื้อหาภาษาอังกฤษมาเทียบกัน 55555 แต่ผ่านไปซักพักก็พอปรับตัวเรื่องตัวภาษาได้นะ เฉพาะภาษาเท่านั้นนน เนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ยังเป็นอะไรที่อ่อนในทุกภาษาที่ต้องเรียน 55555

ในช่วงแรก ๆ จำได้ว่าเรื่องพูดยังไม่มีปัญหา ยังพอใช้ได้
แต่เรื่องไวยากรณ์คือเรียนไม่ได้ คือไม่เข้าใจ ไม่เคยเรียนแบบท่องไวยากรณ์จริงจังขนาดนี้(ยกเว้นที่เขียงใหม่) กลายเป็นว่าเหมือนตัวเองฐานไม่แน่น แล้วโดนอัดเรื่องที่ยากไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกไม่อยากเรียน ไม่ชอบ เรียนไม่ได้ก็เพิ่มขึ้นไปอีกจ้าาา 55555
แล้วยิ่งโอกาสได้พูดก็น้อยลงด้วย เลยกลายเป็นว่าเหมือนไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย
สรุปแล้วสกิลที่ยังดีที่สุดคือการฟัง... เศร้าแป๊บ 5555555

สรุปของสรุปของสรุป คืออาจจะเป็นเพราะฐานเรื่องไวยากรณ์ไม่แน่นรึเปล่า
พอโดนให้ท่องเยอะ ๆ เลยต่อต้าน
ตอนเด็ก ๆ ไม่เคยรู้สึกว่าต้องท่องขนาดนั้น แต่เพราะต้องใช้ทุกวันเลยใช้ได้เอง
พอไม่มีความรู้สึกว่าอยากเรียนแล้วอะไร ๆ ก็...
งิม.....................

แต่!!!!! สกิลฟังกับพูดแบบไม่สนใจแกรมม่ายังพอขุดได้บ้างนะ
โดยการดูหนัง!!! 5555555
ถ้าเป็นหนังอังกฤษ ช่วงแรก ๆ อาจจะต้องเปิดซับอิ๊ง เพราะหูยังไม่เปิด แต่พอดูไปซัก 3-4 เรื่องก็จะเริ่มพอถูไถได้
อาจจะไม่ได้เท่าเมื่อก่อน เพราะขุดได้ไม่นานก็กลับมาสนใจญี่ปุ่นต่ออยู่ดี
/กลับมาดูละครดูรายการญี่ปุ่นต่อ...
5555555555555555555555555555 (ในเลข 5 มีน้ำตาซ่อนอยู่)

ที่เขียนมาทั้งหมดนี่เพื่อเป็นการเตือนให้ตัวเองรู้ว่าเคยทำได้
และซักวันต้องกลับมาทำได้อีก!!!
คงต้องหาโอกาสให้ได้ใช้ภาษาอังกฤษให้มากกว่านี้
มาดูกันว่าภาษาจะกลับมามั้ยยย

เริ่มจากเปิดละครภาษาอังกฤษดู
ปฏิบัติ!!!


1 ความคิดเห็น:

  1. ชีวิตโลดโผน ขึ้นเหนือ ลงใต้ เจอทั้งแบบความรู้แบบ implicit knowledge และ explicit knowledge แต่ที่ออกมาแบบ 自動化 อัตโนมัติเลยก็มี ....น่าสนใจค่ะ

    ตอบลบ